วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์

จุดนี้น่าสนใจมากๆ

แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์

โดยทฤษฎีของ บัฟเฟ็ตต์ นั่นจะลงทุนโดยแนวคิด พื้นฐาน วินัย ความอดทน เป็นทฤษฎี ค่อยๆรวย โดยลงแบบผู้รอบรู้ หลักสูตรรวยทางลัดไม่มี มักจะกลายเป็นหลักสูตรจนทางลัดแทน
โดย เราจะนำแนวคิดของบัฟเฟ็ตต์มาประยุกต์ใช้ทาง Technical Analysis ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ speculate (เก็งกำไร เล่นสั้น) นักลงทุนระยะกลาง ระยะยาว ใช้ได้หมด

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

...เดี๋ยวมาดูกันว่า วางแผนเป็น มีหลักการคิดที่ดี มีกลยุทธ์ที่ดี โดยประยุกต์ใช้แนวทางบัฟเฟตต์มาใช้ทาง Technical Analysis....

ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"

------------------------------------------------------------------------

อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อนโดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถเข้าใจได้ หลักการที่
บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม” “ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึง
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"
ดูตามรูปครับ 1 และ 1.1----->ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
2,2.1,2-2---->อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน (ควรอดทนรอและอยู่นิ่งๆ)














จงตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและมีสติตลอดเวลา

บัฟเฟฟต์ แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน
ควรเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้ มีสติที่ดี คุณต้องควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา การมีสติที่ดียังหมายถึง ควบคุมจิตใจเมื่อต้องรับมือกับสภาวะต่างๆในตลาด สติ ดีที่ยังหมายถึง การมีวินัย คุณจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และคุณจะทำอย่างไรเมื่อเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีเต็มตัว
ควรระวังสติของตัวเองในด้านความโลภและความกลัว
ควรเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า กล้าที่จะซื้อ-ขาย(เมื่อมองเห็นสัญญาณ)กล้าที่จะยอมตัดขาดทุนให้ไว (เมื่อรู้ว่าผิดทาง มีการกลับตัวของทิศทาง) ควรตัดความโลภภายในใจตัวเอง


เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของบัฟเฟตต์ เคยพูดว่า ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนก็คือตัวเขาเอง อย่าตื่นตกใจในความสับสนของตลาด อย่าปาเป้าโดยการซื้อ-ขาย บ่อยๆและตลอดเวลา
(จากการวิจัยพบว่า ยิ่งซื้อ-ขายมากเท่าใดโอกาสขาดทุนก็มากเท่านั่น)
รู้จักตัวเองและตัดสินด้วยตัวคุณเอง คุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง


บัฟเฟตต์พูดว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้น คุณต้องการเพียงแค่สติปัญญาธรรมดาๆ และต้องการความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ ถ้าคุณสามารถใจเย็นอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นๆรอบข้างกำลังตกใจคุณก็เป็นต่อในการลงทุน

จงอดทน
บัฟเฟตต์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า การลงทุน ต้องมีความอดทน
ความ อดทนไม่ใช้เรื่องง่ายๆแต่เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการควบคุมอารมณ์ในการ ลงทุน (เมื่อรู้กราฟเป็น sideway เลี่ยงโดยการปิดโปรแกรมแล้วหาอย่างอื่นทำดีกว่า) อย่าปล่อยให้ความอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการอดทนรอในช่วงที่ไม่น่าเข้าเทรด

เมื่อ ซื้อ-ขายจงใจเย็นและไม่หลงระเริงไปกับความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสมและตกอยู่ในอำนาจของความกลัวเพราะถ้าแนวโน้ม ขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไป แต่จงอย่าโลภเมื่อมีสัญญาณกลับตัวให้เห็น(ออกให้เร็ว) มีวินัยเมื่อระบบเปลี่ยนทิศทาง

เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวในหนังสือ “The Intelligent Investor” ว่าเราได้เห็นเงินจำนวนมากตกเป็นของคนธรรมดาๆที่ รู้จักการควบคุมสติให้เหมาะสมกับขบวนการลงทุนของพวกเขา มากกว่าพวกที่มีความรู้ด้านการเงินการบัญชีและผู้เชี่ยวชาญที่ขาดความอดทน

จงซื้อ-ขายต่อเมื่อคุณมั่นใจและแน่ใจแล้วเท่านั่น ถ้ายังไม่มั่นใจควรอยู่นิ่งๆก่อน อย่ามองและเช็คกราฟตลอดเวลา(รอจังหวะให้เป็น)
---------------------------------
Ex.รูป1 การเทรดไม่จำเป็นต้องเข้าๆออกๆ บ่อยครั้งในหนึ่งวัน
รูป2 คุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง


วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

1 มองหาแนวโน้ม
ใน กราฟมีแค่ 3 แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหน ทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้น

เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน) การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอก ของกราฟ)เพราะแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว


2 เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น
พิจารณาแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น
แนว โน้มของตลาดจะมีทั้ง ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก

''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเทรนขาขึ้น
ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของเทรนขาลง
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน
อย่าง ไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้วจึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย

ดูตัวอย่างรูป ของการมองหาแนวโน้มจากระยะยาว เพื่อไปเทรดระยะสั้น
รูป 1 (รูปกราฟ1dมองว่าเกิดอะไรอยู่) 2 (รูป4hว่าเกิดอะไรอยู่) 3 (รูป15เพื่อหาจังหวะเทรด) จากเวลา เดียวกัน และตัวอย่าง ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้านของการเดินทางแนวโน้มที่เกิดขึ้น รูป4 ของขาขึ้น รูป5 ของขาลง













3 หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม)
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง

เมื่อ ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)
เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำเก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)
ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง

------------------------------------------------------------------------------------------------------

4 การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัวและมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการปรับฐานหรือปรับตัวของราคา
เมื่อ เกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3จังหวะที่สามของแนวโน้ม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
5 ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นแนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้น ที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น) เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอกแนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

6 ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4และ9วัน 9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
ตัวอย่างรูป เส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน (sma40)














สามารถลากจากไหนก็ได้ชอบแบบที่ราคาเปิดปิด หรือ ชอบลากแบบใส้เทียน ใช้แบบไหนก็ได้ครับฝึกดูไปเรื่อยๆครับ แต่เมื่อหลุดแล้วไม่เป็นไปตามทิศทางที่เรามองมีทางเดียวเลยครับ ยอมตัดขาดทุนแล้วเริ่มครั้งใหม่ ไม่มีระบบไหนถูกทุกครั้งครับ ทุกระบบถูกเลือกมาให้ถูกมากกว่าผิด แต่ระบบทุกระบบก็ต้องการทำตามอย่างมีวินัยสูงด้วยเช่นกัน การมีวินัยจะช่วยให้การเสียหายขาดทุนน้อย แต่ถูกทางจะกำไรมากเสมอๆครับไม่เชื่อลองมีวินัยดูครับ....

ข้อสอง ระยะสั้น มีตัวpivot ที่ใช้ดูระยะ 15m ใช้ได้ดีในการเล่นหนึ่งวัน ส่วนระยะกลาง ระยะยาว ต้องลากมือเพื่อหาเป้าหมายหรือจะดูจาก แนวรับ แนวต้าน อดีตว่าเคยขึ้น ลงไปที่จุดไหนและอนาคตมักจะวิ่งที่พักตัวที่ระดับจุดที่อดีตเคยขึ้นมาถึง ลงมาถึงเช่นกันครับ

ข้อสาม ส่วนใหญ่น่ะครับ พอมีแนวโน้มขึ้นหมดรอบขึ้นแล้วมักจะเกิดคลอเคลีย(sideway)หรือพักตัวก่อน เสมอแล้วมีแนวโน้มครั้งต่อไป เปรียบ เสมือนการวิ่งครับเมื่อเราวิ่งมานานเราเหนื่อยเราก็ต้องพักก่อน เมื่อพักเราก็หายเหนื่อย(สะสมแีรงนั่นเอง) พอหายเหนื่อยเราจึงวิ่งต่อ สรุปแล้วเกิดแนวโน้มครบหนึ่งรอบแล้วพักเพื่อสะสมแรงแล้วจึงวิ่งครั้งต่อไป ครับ ราคาการขึ้นลงของกราฟก็มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเช่น เดียวกันครับ เป็นไปตามธรรมชาติทั้งนั่นครับ ขยันมอง ขยันสังเกตุและขยันมีวินัยครับ เดี๋ยวก็เก่งครับ

เอารูปแบบต่างๆมาฝากจำไม่ได้แล้วเอามาจากเว็บไหน..


ฝึกให้ทานจนเป็นนิสัย ความโลภจากกำไรและควมโลภของการไม่กล้า stop loss จะหายไปเอง

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำศัพท์ที่ใช้ใน Forex

รู้จักศัพท์ ที่ใช้ใน ฟอร์เร็กซ์
หลังจากได้เรียนทักษะใหม่ ๆ ก็ควรต้องเรียนศัพท์ ที่ใช้ในวงการฟอร์เร็กซ์ด้วยม รู้จัก ส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะ เริ่มเทรด บางคำนี้ อาจจะรู้อยู่แล้ว ไม่้เป็นการเสียหลาย ในการทบทวนสิ่งที่รู้มา


คำศัพท์ ต่างๆ ที่ใช้บ่อย

ค่าเงินหลัก ค่าเงินรอง

ค่าเงินหลัก ที่มีการเทรดมากที่สุด (USD, EUR, JPY, GBP, CHF, CAD, NZD, AUD) เรียกว่า major currencies
ค่าเงินอื่น ๆ เรียกว่า minor currencies ไม่ต้องสนใจ minor currencies มาก ส่วนใหญ่จะเฉพาะคนที่เล่นมานาน แล้วเท่านั้น ในที่นี้ส่วนใหญ่ จะพูดถึง Fab Five (USD, EUR, JPY, GBP, CHF) ค่าเงินเหล่านี้ มีสภาพคล่องสูง และน่าดึงดูดให้เทรดมากที่สุด


Base Currency

base currency คือ ค่าเงินตัวแรก หรือตัวหน้าของคู่เงินแต่ละคู่ แสดงมูลค่าเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ second currency ตัวอย่างเช่น ถ้า USD/CHF เรท เท่ากับ 1.6350 หมายความว่า 1 ดอลล่าร์ มีมูลค่าเท่ากับ 1.6350 สวิสฟรังค์ ในตลาดฟอร์เร็กซ์ดอลล่าร์ส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็น ค่าเงินพื้นฐาน (base currency) ในการคำนวณ คือ เราใช้เงิน 1 USD เทียบกับค่าเงินอื่นในคู่อื่น ๆ นั้น แต่ยกเว้นค่าเงินเหล่านี้ เงินปอนด์ เงินยูโร เงินดอลล่าร์ออส เตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะใช้ค่าเงินตัวเองเป็น ค่าเงินพื้นฐานในการคำนวณ


Quote Currency

quote currency หรือค่าเงินอ้างอิง เป็นค่าเงินตัวที่สองของคู่เงิน ที่มีในตลาดฟอร์เร็กซ์ ซึ่งบางครั้งอาจจะ เรียกว่า pip currency และกำไรที่เรายังไม่รับรู้ (คือยังไม่ได้ปิด position) ก็จะถูกอธิบายมาเป็นค่าเงินนี้


Pip

pip คือหน่วย ที่เล็กที่สุดของราคาในแต่ละค่าเงิน แทบทุกค่าเงินจะมีทศนิยมอยู่ข้างหลังตัวเลขอยู่เสมอ ตัวอย่าง EUR/USD อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.2538. ในที่นี้ 1 pip เป็นการเปลี่ยนแปลงในสี่จุดทศนิยม นั่นก็คือ 0.0001 ดังนั้น ถ้าค่าเงินอ้างอิงในคู่เงินใด ๆ คือ USD 1 จะเท่ากับ 1/100 ของ 1 cent. USD/JPY มีข้อยกเว้น เพราะว่า 1 pip = $0.01.


Bid Price

Bid เป็นราคาตลาด ที่ใช้ในการซื้อค่าเงินในตลาดฟอร์เร็กซ์ ณ ราคานี้ เทรดเดอร์ใช้ในการ sell base currency. จะแสดงอยู่ทางด้านซ้ายของราคาค่าเงิน ตัวอย่าง ในคู่ GBP/USD 1.8812/15, bid Price คือ 1.8812. หมายถึง เรา sell 1 ปอนด์ แล้วเราจะได้เงิน 1.8812 ดอลล่าร์


Ask Price

Ask เป็นราคาที่ใช้ในการขายค่าเงินใด ๆ ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ที่ราคานี้ เทรดเดอร์ จะ buy base currency และ อยู่ด้านขวา ของราคาค่าเงิน ตัวอย่าง EUR/USD 1.2812/15 ask price คือ 1.2815 หมายถึง เราสามารถ buy 1 ยูโร โดยใช้เงิน 1.2815 ดอลล่าร์ และราคานี้เรียกว่า offer price.


Bid/Ask Spread

Spread เป็นความแตกต่างระหว่างราคา bid กับ ask "big figure quote" เป็นคำพูดที่โบรคเกอร์ใช้ในการอธิบาย ค่าเงิน ที่มีทศนิยมน้อย โบรคเกอร์จะไม่พูดตัวเลขค่าเงินหลักข้างหน้า ตัวอย่างเช่น USD/JPY มีอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 118.30/118.34 แต่ว่าพวกเขาจะเรียกสั้น ๆ ว่า 30/34


ที่มาของอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราเปลี่ยนในตลาดฟอร์เร็กซ์ อธิบายได้ง่าย ๆ ดังนี้ Base currency / Quote currency , Bid / Ask


Transaction Cost

ค่า bid/ask หรือ spread นั้นก็คือ transaction cost เป็นค่าใช้จ่ายในการเทรดต่อครั้งนั่นเอง หนึ่งรอบ จึง หมายถึง การซื้อ (หรือขาย) และการปิดบัญชีที่เราซื้อ(หรือขาย) ในขนาดของออร์เดอร์ที่เท่ากัน และค่าเงิน เดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ EUR/USD อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1.2812/15, transaction cost เท่ากับ 3 จุดนั่นเอง สูตรในการคำนวณ Transaction Cost คือ Transaction cost = Ask Price – Bid Price


Cross Currency

cross currency คือคู่เงินใด ๆ ที่ไม่มีค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในคู่เงินนั้น ๆ ซึ่งคู่เหล่านี้จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ (ผันผวน) เพราะต้องใช้คู่เงินที่มีดอลล่าร์สองคู่มาเทียบข้ามคู่กัน ตัวอย่าง ในการ buy EUR/GBP หมายความว่า เรากำลัง buy คู่ EUR/USD และกำลัง sell คู่ GBP/USD อยู่ การเล่นคู่ที่เป็น Cross currency จะทำให้มีค่า transaction cost สูงขึ้นด้วย


Margin

เมื่อเปิดบัญชีแบบมาร์จิ้นใหม่กับฟอร์เร็กซ์โบรคเกอร์ เราต้องฝากเงินไว้กับโบรคเกอร์ด้วย ซึ่งก็จะมีขั้นต่ำ แล้วแต่ว่า โบรคเกอร์จะให้ฝากเท่าไหร่ บางโบรคเกอร์อาจจะให้ฝากแค่ 100 เหรียญ และบางโบรคเกอร์อาจจะให้ฝากถึง 100,000 เหรียญ (บางโบรคเกอร์ มีเงินจริงเล็กน้อย ให้เล่นในบัญชี ซึ่งจะถูกหักกลับเมื่อจะมีการโอนออกครั้งแรก) ในแต่ละครั้ง ที่คุณเทรด จะคิดเเป็นเปอร์เซ็นต์ของของเงินทั้งหมดของบัญชีมาร์จิ้น จะเรียกว่า initial margin requirement ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าเงินและราคา รวมทั้งขนาดของลอทของคู่เงินนั้น ๆ ที่เราเทรด ซึ่งขนาดของลอทคือ ขนาดของ base currency. ตัวอย่าง หากเราเปิดบัญชี mini ซึ่งสามารถใช้ Leverage ได้ที่ 200:1 หรือ 0.5 % ของมาร์จิ้น บัญชีแบบ Mini สามารถเทรด mini lot ได้ ถ้าให้ 1 mini lot เท่ากับ 10,000 เหรียญ เราจะต้องใช้ มาจิ้นเท่ากับ 50 เหรียญ ($10,000 x 0.5% = $50).


Leverage

Leverage คือ อัตราส่วนของทุนที่ใช้เป็นต้นทุนในการส่งออร์เดอร์ ซึ่งจะต้องใช้มาร์จิ้น Leverage เป็นสิ่งที่สามารถ ใช้เงินจำนวนหนึ่งในการถือครอง Position ที่ใหญ่กว่าจำนวนเงินทุนของเรา Leverage จะแตกต่างกันไป ตามแต่ละ โบรคเกอร์ ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ 2:1 ไปจนถึง 400:1


Margin + Leverage = ความสามารถในการพิฆาตบัญชีของคุณในพริบตา

การเทรดค่าเงินที่ใช้มาร์จิ้นนี้ เราสามารถเพิ่มพลังในการซื้อได้ คือถ้าเรามีเงินอยู่ 5,000 เหรียญ ในบัญชีมาร์จิ้น และใช้อัตรา leverage ที่ 1:100 ก็จะสามารถซื้อค่าเงินได้มูลค่าถึง 500,000 เหรียญ เพราะเราแค่ใช้มาร์จิ้นแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่จะซื้อได้ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่า เรามีกำลังซื้อถึง 500,000 เหรียญ ด้วยกำลังซื้อที่สูงนี้ สามารถให้ผลตอบแทนต่อส่วนทุนมีสูงขึ้น แต่ก็ต้องระวังไว้เช่นกัน เพราะการใช้มาร์จิ้น ทำให้มี โอกาส ได้กำไรสูง และขาดทุนสูงเท่า ๆ กัน


Margin Call

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะกลัวกับคำว่า margin call เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อโบรคเกอร์ บอกว่า ตอนนี้ มาร์จิ้นของคุณ น้อยกว่าเกณฑ์ที่ต้องใช้ในการถือครอง position เพราะ ค่าเงินนั้น เคลื่อนไหวในทางตรงข้ามกับ Position ที่ถืออยู่ ขณะที่กำลังเทรดโดยใช้มาร์จิ้นนั้น เราอาจจะมีกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้ แต่ว่ามันสำคัญที่ต้องเข้าใจความเสี่ยงด้วย ต้องเข้าใจ เกี่ยวกับบัญชีมาร์จิ้นอย่างละเอียด และต้องอ่านข้อตกลง ตอนเปิดบัญชีระหว่างเรากับโบรคเกอร์ อย่างถี่ ถ้วน ให้ถามโบรคเกอร์ ถ้าไม่เข้าใจข้อตกลงข้อไหน Position จะต้องถูกปิด แต่ราคามันอาจจะวิ่งไปต่ำกว่า มาร์จิ้น ที่มีในบัญชี เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น คุณอาจจะไม่ได้รับการเตือน margin call เพราะ ออร์เดอร์ของคุณจะโดนปิดไปซะก่อน(เรื่องที่ไม่คาดฝัน) Margin calls สามารถเลี่ยงได้โดยการดูหน้าจอเทรด ให้บ่อยขึ้น หรือ โดยการใช้ stop-loss order เพื่อจำกัดความเสี่ยง


หมายเหตุผู้แปล :

margin call ตามความรู้ของผู้แปลคือ การที่บัญชีถึงจุดต่ำกว่ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ในการถือครอง position ปกติ จะใช้ใน ตลาด future ซึ่งถ้ายอดขาดทุนต่ำกว่า ทางโบรคเกอร์จะเรียกให้ฝากมาร์จิ้นเพิ่ม ไม่เช่นนั้น โบรคเกอร์ ก็จะปิด position ของเราเพื่อมิให้เกิดการขาดทุนกับโบรคเกอร์ เพราะตลาดฟิวเจอร์มีการใช้ Leverage เหมือนกับ ตลาดค่าเงิน แต่อาจจะ ต่ำกว่ามาก


ป้องกันตัวก่อนจะทำร้ายตัวเอง

ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:

1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด

2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้

คุณควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน

ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมมาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม


ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !

- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง

- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง

อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม
ถ้าคุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ

- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย


คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์

แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก

ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย

ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก


สมัคร AGEA 

credit by poor

การเปิดบัญชีเทรดฟอร์เร็กซ์ - Forex กับ หุ้น - Forex กับ Futures

สมัคร AGEA


การเปิดบัญชีเทรดฟอร์เร็กซ์
การเปิดบัญชีเทรดออนไลน์กับฟอร์เร็กซ์โบรคเกอร์ มีสามขั้นตอนสำคัญ ๆ
1. เลือกประเภทของบัญชี
2. กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
3. ทำการยืนยันตัวตนในบัญชีที่เปิด
ก่อนที่จะเทรดควรจะลองเปิดบัญชีเดโมเล่นไปก่อน ซึ่งสามารถเปิด ได้ฟรี ๆ และเล่นได้ราว ๆ สองถึงสามเดโม หรือบางโบรคเกอร์ อาจมากกว่านั้น เพราะว่าฟรี จึงควรลองหลาย ๆ โบรคเกอร์ แล้วเลือกที่คิดว่าใช่


เปิดบัญชีเทรดออนไลน กับ ฟอร์เร็กซ์ โบรกเกอร์


ประเภทบัญชี

เมื่อพร้อมจะเปิดบัญชี มีตัวเลือกในการเปิดบัญชีเงินจริงภายใต้ชื่อ หรือชื่อทางธรุกิจของคุณ คุณต้องตัดสินใจว่า ต้องการจะเปิดบัญชี "standard" หรือ บัญชี "mini" (หรือ "micro"ถ้าโบรคเกอร์มีให้เปิด) นักเทรดที่ยังไม่มี ประสบการณ์ หรือนักเทรดที่มีเงินทุนน้อย ควรจะเปิดบัญชี mini ถ้าเป็นนักเทรดที่มีประสบการ และมีเงินทุนหนา ควรจะเปิดบัญชีสแตนดาร์ท

- อ่านเงื่อนไขโบรคเกอร์ ให้ปริ้นท์ออกมาอ่านเสมอ

บางโบรคเกอร์มีบริการ "managed account" เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ถ้าต้องการโบรคเกอร์เทรดให้ ก็เลือก managed account ได้ แต่ควรจะเรียนรุ้ด้วยตัวเอง การเปิดบัญชีแบบ managed account ต้องใช้เงินทุนปริมาณ มาก อาจจะอย่างน้อยถึง 25,000 เหรียญ หรือมากกว่านั้น และโบรคเกอร์จะหักเปอร์เซ็นต์กำไรของคุณออกไปได้
อย่าลืมว่า บัญชีของคุณเป็นบัญชี Forex Spot ไม่ใช่บัญชีแบบ Forwards หรือ Futures.

การลงทะเบียน

คุณต้องใช้เอกสารในการลงทะเบียนเปิดบัญชีฟอร์เร็กซ์ รูปแบบก็จะแตกต่างกันตามเงื่อนไขของโบรคเกอร์ แบบฟอร์ม ในการลงทะเบียนส่วนใหญ่ จะอยู่ในรูปแบบ PDF สามารถอ่าน และปริ้นท์ ได้โดยใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Reader

การยืนยันตัวตน

เมื่อโบรคเกอร์ได้รับเอกสารในการลงทะเบียนแล้ว คุณจะได้รับอีเมล์ พร้อมกับคำแนะนำในการยืนยันตัวตนของคุณ หลังจากนั้น จะได้รับอีเมล์อันสุดท้ายจะเป็น username, password, และคำแนะนำในการนำเงิน เข้าบัญชีเทรด และ เริ่มเทรดได้เลย รึเปล่า ?


Forex กับ หุ้น

ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
ความได้เปรียบ
Forex
หุ้น
เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
YES
NO
ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
YES
NO
สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที
YES
NO
สามารถเล่น Short Sell ได้
YES
NO

เทรดได้ 24 ชั่วโมง

ตลาดฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด

ฟอร์เร็กซ์โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders

เมื่อส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้

ตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง


Forex กับ Futures

ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
ความได้เปรียบ
Forex
Futures
เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
YES
NO
ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*
YES
NO
มี leverage สูงถึง 1:400
YES
NO
มีราคาที่แน่นอน
YES
NO
ความเสี่ยงมีจำกัด
YES
NO

สภาพคล่อง

ตลาดฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดังนั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ในฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด

อะไรสำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน

เมื่อเทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด

นักเทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก


เหตุผลอื่น ๆ ที่ควรเลือกฟอร์เร็กซ์

ไม่มีคนกลาง

คนกลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้

หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด

คุณเคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน

มีหุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้

สมัคร AGEA

การเลือกโบรคเกอร์ ฟอร์เร็กซ์

การเลือกโบรคเกอร์ ฟอร์เร็กซ์

สมัคร AGEA



ก่อนที่จะเทรดฟอร์เร็กซ์ได้ ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ฟอร์เร็กซ์ก่อน โบรกเกอร์ คืออะไร? คำอธิบายง่ายที่สุด คือ บริษัท หรือใครซักคนหนึ่ง ที่รับซื้อหรือว่าขาย ออร์เดอร์ ที่มาจากนักเทรด โบรกเกอร์ ได้เงินจากค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าธรรมเนียมในการบริการ

จะเลือกโบรกเกอร์ที่ไหนดี เพราะมีเยอะมากที่ให้บริการ ในการตัดสินใจ เลือกโบรคเกอร์ ต้องทำการวิเคราะห์กันหน่อย จะทำให้เข้าใจในตัวบริการ และค่าธรรมเนียม ที่โบรกเกอร์มี


ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ต้องมีใบอนุญาติ

เมื่อเลือกโบรคเกอร์มาแห่งหนึ่ง และจะพบว่าโบรคเกอร์นั้น เป็นสมาชิกขององค์กรอะไรซักอย่าง เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีตัวตนอยู่ และด้วยความที่เป็นอย่างนี้ กฏหรือว่า ใบอนุญาต สำหรับโบรกเกอร์ จึงมีความสำคัญ อย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะโดนหลอกก็เป็นได้

ในสหรัฐฯ โบรคเกอร์จะต้องลงทะเบียนกับ Futures Commission Merchant (FCM) , Commodity Futures Trading Commission(CFTC) หรือ เป็นสมาชิกของ NFA เป็นอย่างน้อย ( CFTC และ NFA จะตรวจสอบ บันทึกประวัติ การเกิดการฉ้อฉล ทุจริต คดโกงเงินในการเทรด )

เราสามารถตรวจสอบกฏของโบรคเกอร์ จากสถานะของสมาชิกใน Commodity Futures Trading Commission (CFTC) และ (NFA) เพื่อตรวจดูประวัติของพวกเขาโดยการโทรไปหา NFA ที่เบอร์ 7(800) 621-3570 หรือ ตรวจสอบ ข้อมูลของโบรคเกอร์ ผ่านทางเว็บไซต์ที่ www.nfa.futures.org/basicnet

ให้มองหาบริษัทที่มีประวัติการทำงานที่สะอาด และสภาวะการเงินมั่นคง อย่าสนใจกับโบรกเกอร์ที่ไม่มี องค์กรใด ๆ รับรอง

NFA จะคอยให้ความรู้กับนักลงทุน เกี่ยวกับการเทรดฟอร์เร็กซ์ พวกเขามีนิตยสารที่ได้รับรางวัล Pulitzer ชื่อว่า "Trading in the Retail Off-Exchange Foreign Currency Market" เขาจะแนะนำให้อ่านมันก่อน

พวกเขายังได้พัฒนาตัวโปรแกรมการเรียนรู้เรื่องฟอร์เร็กซ์ออนไลน์ Forex Online Learning Program ขึ้นมา เป็นโปรแกรมที่สามารถศึกษาได้ด้วยตัวเอง ถ้าอยากรู้ว่าฟอร์เร็กซ์เทรดอย่างไร มีความเสี่ยงจากการเทรดอย่างไร หรือสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ ก่อนที่จะเปิดบัญชีกับโบรคเกอร์ ซึ่งทั้งสองนี้ บริการให้ฟรี


ฝ่ายบริการลูกค้า

ตลาดฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีฝ่ายบริการลูกค้าที่ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง เหมือนกัน

- สามารถติดต่อโบรคเกอร์เหล่านั้นผ่านโทรศัพท์ อีเมล์ แชท ได้ไหม ?
- พนักงานรับโทรศัพท์เหล่านั้น จะตอบคำถามเราได้ไหม?

เรื่องคุณภาพของฝ่ายบริการลูกค้า ขึ้นอยู่กับตัวโบรกเกอร์ ต้องเช็คให้แน่ใจว่า พวกเขาบริการดีหรือไม่ ก่อนที่จะ เปิดบัญชี

เกร็ด : เลือกโบรคเกอร์มาสองสามแห่ง แล้วติดต่อผ่านศูนย์บริการลูกค้าของพวกเขา ดูว่าพวกเขาตอบคำถาม เร็วแค่ไหน เพราะบอกถึงความรับผิดชอบต่อความต้องการ ถ้าไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจและช้า อาจเป็นโบรคเกอร์ ที่ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ และระวังโบรคเกอร์ประเภทนี้เอาไว้

( จำไว้ว่า บริการก่อนการขาย ย่อมดีกว่าบริการหลังการขาย ซึ่งไม่ถูกต้อง )


โปรแกรมเทรดออนไลน์

โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะอนุญาติให้คุณเทรดผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว โปรแกรมที่ให้บริการ เป็นระบบการส่งคำสั่งในการ เทรด ดังนั้นโปรแกรมที่ใช้ในการส่งคำสั่งจึงมีความสำคัญ เหมือนกับการเทรดออพชั่น ที่จะมีบริการ บัญชีเทรดแบบ เดโม ในบางโบรคเกอร์

สิ่งที่ควรจะดูในหน้าจอโปรแกรม ของโบรคเกอร์

• ความสามารถในการดูราคา หรืออัตราแลกเปลี่ยน แบบเรียลไทม์
• มีผลสรุปของยอดรวมในบัญชี และมีกำไรที่รับรู้ไปแล้ว และกำไรที่ยังไม่รับรู้ มีมาร์จิ้นที่เหลืออยู่ และมาร์จิ้นที่ล็อคไว้ สำหรับในการถือ postion.
โปรแกรมเทรดส่วนใหญ่ หรือแม้แต่หน้าจอที่เทรดบนเว็บ โดยใช้ Java หรือว่าโปรแกรมที่ต้องติดตั้ง ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ ซึ่งควรจะให้เหมาะกับตัวคุณ
• โปรแกรมที่เทรดบนเว็บ เป็นโปรแกรมที่มี host หรือแม่ข่าย อยู่ที่เว็บไซต์ของโบรคเกอร์ เราไม่ต้องติดตั้ง โปรแกรมใด ๆ ในคอมพิวเตอร์ สามารถที่จะเข้าไปใช้โปรแกรมจากที่ไหนก็ได้ คอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ ที่ต่ออินเตอร์เน็ต
• โปรแกรมที่ติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้องดาวน์โหลด และติดตั้งโปรแกรม ก็ได้รับอนุญาต ให้เทรดบน คอมพิวเตอร์ (ไม่ว่าจะลงโปรแกรมไว้กี่เครื่องก็ตาม)

โดยทั่วไป การดาวน์โหลดและการติดตั้งโปรแกรม สามารถทำได้ค่อนข้างรวดเร็ว แต่โปรแกรมส่วนใหญ่ จะไม่มี โปรแกรมให้เลือกลงได้หลายระบบปฏิบัติการมากนัก ตัวอย่างเช่น โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะมีโปรแกรมเทรดที่ สามารถติดตั้งได้บน Microsoft Window อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าคุณใช้ Mac คุณก็ไม่สามารถติดตั้งโปรแกรม เหล่านั้นได้ และคุณต้องใช้โปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ในเว็บของโบรคเกอร อย่างเดียวเท่านั้น โปรแกรมเหล่านี้ จะเปิด ผ่านโปรแกรม เล่น อินเตอร์เน็ต อย่าง IE , Firefox อีกที

โปรแกรมที่ใช้ซอร์ฟแวร์ Java เป็นที่นิยมในหมู่โบรคเกอร์ ที่คิดว่าปลอดัยและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะยากที่จะโดน โจมตี จากไวรัส หรือแฮ็คเกอร์ ในระหว่างที่ทำการส่งถ่ายข้อมูล เช่นการดาวน์โหลดโปรแกรม หรือการติดตั้งโปรแกรม

คุณต้องลองใช้โปรแกรมของโบรคเกอร์ ด้วยบัญชีเดโม ก่อนที่จะลงเงินในบัญชีจริง!

ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
ตลาดฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่มีการเคลื่อนไหวของราคารวดเร็ว ดังนั้น ควรใช้อินเตอร์เน็ต ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตลาด จึงควรมีอินเตอร์ความเร็วสูง แต่ถ้าไม่มีก็อาจจะทำให้พบกับ ปัญหาจุกจิก ในการเทรด ระบบอินเตอร์เน็ตแบบเดิม ๆ ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดฟอร์เร็กซ์ ถ้าอยากเทรดออนไลน์ ควรใช้ คอมพิวเตอร์ที่เร็ว และมีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แต่มันก็ไม่สำคัญมากหรอก!

ทุกโบรคเกอร์จะให้คุณส่งออร์เดอร์แบบเรียลไทม์อยู่แล้ว ทำให้คุณส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ โปรแกรมเทรดพื้นฐานควรจะมี แต่ก็ยังมีการอัพเกรดโปรแกรมเทรด เพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวก โดยอาจ จะต้อง เสียค่าธรรมเนียมเป็นรายเดือน

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็จะมีกราฟ หรือ ชาร์ท ทางเทคนิค ไว้บริการในโปรแกรมเทรดอยู่แล้ว จะแตกต่างกันไปตาม แต่ละโบรคเกอร์ เราควรเข้าใจจุดนี้ไว้ด้วย


Mini/Micro Accounts

โบรคเกอร์จะมีบัญชีเล็ก ๆ ให้เรา เรียกว่า mini account และยังมีเล็กยิ่งกว่านั้นอีกคือ บัญชี Micro Account ซึ่ง แค่เงิน ไม่กี่ร้อยเหรียญ ก็สามารถเล่นได้ และดีสำหรับเทรดเดอร์ เพราะว่าเราควรจะใช้บัญชีประเภทนี้ ในการหา ประสบการณ์ การเทรด


นโยบาย หรือเงื่อนไขของโบรคเกอร์

ก่อนที่จะเลือกโบรคเกอร์ออนไลน์
ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไข ของโบรคเกอร์ ให้รอบคอบเสียก่อน เช่น:

คู่เงินที่สามารถเทรดได้ ควรจะดูว่าโบรกเกอร์มีคู่เงินหลัก ๆ อย่างน้อย เจ็ดค่าเงินให้เล่นรึเปล่า ( AUD, CAD, CHF, EUR, GBP, JPY, and USD)

Transaction Costs คือ ค่าใช้จ่ายในการส่งออร์เดอร์ ซึ่งจะถูกคิดเป็น pip ยิ่งค่า spread ต่ำเท่าไหร่ ในการ เทรด ต่อครั้ง หมายความว่า เรามีโอกาสในการทำกำไรสูงขึ้นเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับโบรคเกอร์ที่ spread สูง ๆ ก็จะเห็น ความแตกต่างชัดเจน เช่น Bid กับ Ask หรือ Spread ของ EUR/USD ทั่วไปแล้วควรจะเป็น 3 pip แต่คุณ อาจจะหาโบรคเกอร์ที่มี spread แค่ 2 หรือน้อยกว่านั้นได้

Margin ที่ต้องใช้ สำหรับมาร์จิ้นที่ต้องใช้ต่ำมาก ๆ (หมายถึงต้องใช้ leverage สูง) หมายถึง โอกาสในการทำ กำไร และโอกาส ขาดทุนสูง เช่นเดียวกัน เปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น ส่วนมากจะอยู่ที่ .25% ถ้า ฃหาโบรคที่มีมาร์จิ้นถูก ๆ ยิ่งดีเมื่อ เทรด ได้กำไร แต่ถ้าขาดทุนก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน ต้องทำความเข้าใจกับการสวิงของค่าเงินด้วย และให้ระวัง การใช้มาร์จิ้น

ขนาดของการเทรดอย่างน้อย ขนาดของการเทรดที่ 1 ลอท อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละโบรคเกอร์ บางโบรคเกอร์อาจจะเท่ากับ 1,000, 10,000 , หรือ 100,000 ดอลล่าร์ ต่อ 1 ลอท
ถ้า 1 ลอทมีมูลค่า 100,000 เหรียญเรียกว่า standard
ถ้า 1 ลอทมี มูลค่า 10,000 เรียกว่า Mini
ถ้า 1 ลอท มีมูลค่า 1,000 เรียกว่า micro
บางโบรคเกอร์อาจจะมีขนาดในการส่งออร์เดอร์ที่เล็กกว่านี้ได้อีก เรียกว่า odd lot สามารถกำหนดขนาด การส่ง ออร์เดอร์เองได้

Rollover / swap Rollover ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความแตกต่าง ของอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศ ที่ใช้ค่าเงินนั้น ๆ อยู่ เมื่อเทียบกับ อัตราดอกเบี้ยอีกค่าเงิน ที่อยู่ในคู่ของค่าเงิน อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ จะทำให้ เราต้องจ่าย หรือ รับค่า Rollover มากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเทรด GBP/USD ถ้าเงินปอนด์มีอัตราดอกเบี้ย ที่สูง หรือ แตกต่าง มากกว่า อัตราดอกเบี้ยของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ดังนั้นการคิดค่า Rollover ของการถือเงินปอนด์ จะแพง ในทาง ตรงกันข้าม เช่น ถ้าเงินสวิสฟรังค์ มีอัตราดอกเบี้ยส่วนต่างน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้น การถือ ค่าเงิน USD/CHF ข้ามคืนก็จะมีค่าใช้จ่ายน้อยเช่นเดียวกัน

อัตราดอกเบี้ยในบัญชีแบบ Margin Account การจ่ายดอกเบี้ยของโบรกเกอร์ส่วนมากขึ้นอยู่กับ ขนาด มาร์จิ้นของลูกค้า ซึ่งขึ้น ๆ ลง ๆ ตามอัตราดอกเบี้ย ที่ประกาศ ออกมา ถ้าคุณคิดจะหยุดเทรดไปซักพัก แต่ว่า ดอกเบี้ยในบัญชีมาร์จิ้นของคุณยังคงถูกคิดต่อไป จำไว้ว่าโบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ ไม่อนุญาตให้ปล่อยดอกเบี้ย พอกมากขึ้น นอกจากคุณจะใช้มาร์จิ้นแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ คือ leverage 1: 50

Trading Hours แทบทุกโบรคเกอร์จะใช้เวลาในการเริ่มเปิดตลาด เป็นเวลาเดียวกันกับที่ ตลาดฟอร์เร็กซ์ ทั่วโลกเปิดตลาด นั่นคือ 4:00 เช้าวันจันทร์ ของไทย จนถึง เวลา ตี 4 วันเสาร์ ของไทย

เงื่อนไขอื่น ๆ ให้ตรวจสอบเรื่องการเปิดบัญชี "fine print" เกี่ยวกับเงื่อนไขของโบรคเกอร์ เพราะอาจจะแตกต่าง กัน เล็กน้อย กับ โบรคอื่น ๆ เพราะพวกเขาอาจจะมีเงื่อนไข ที่ตั้งขึ้นไว้เอาเปรียบนักเทรดมือใหม่ การหาโบรคเกอร์ ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ได้ง่ายและต้องใช้เวลา อย่ารีบเลือกโบรคเกอร์ที่คิดว่าดูดี มองหา ความได้เปรียบ ที่อาจจะ มีในโบรคเกอร์อื่น ๆ ด้วยการใช้บัญชี Demo ของพวกโบรคเกอร์หลายๆแหล่ง


สรุป

สิ่งที่ต้องตรวจสอบใน online Forex broker/dealer:

1. ค่า Spreads ต่ำ

ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ 'spread' คือ จุดที่แตกต่างระหว่าง ราคา Buy กับ Sell ที่มีอยู่ในแต่ละค่าเงิน ถ้ายิ่ง Spread ต่ำ ๆ ยิ่งทำให้ได้เปรียบ

2. เงินฝากแรกเข้าขั้นต่ำ ไม่มากนัก

สำหรับคนใหม่ในตลาดฟอร์เร็กซ์ และไม่มีเงินเป็นล้าน ๆ เหรียญ ที่จะมาเสี่ยงในการเทรด การเปิดบัญชี micro ด้วยเงินเริ่มต้นซัก 250 เหรียญ(เราแนะนำอย่างน้อย 1,000 เหรียญ) ซึ่งกำลัง พอเหมาะ สำหรับมือใหม่

3. ออร์เดอร์ของคุณ โดน Instant automatic execution

นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อคุณเลือกฟอร์เร็กซ์โบรคเกอร์ อย่าเลือกโบรคเกอร์ที่มี Re-Quote เมื่อจะซื้อที่ราคานั้น หรือ โบรคเกอร์ที่มีการใช้ Slippage เป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อคุณเทรดแล้วหวังผลกำไรส่วนต่างไม่กี่จุด คุณต้องใช้ สิ่งที่เรา เรียกว่า WYSIWYG (อ่านว่า วิซซี่วิก)โบรคเกอร์ หมายถึงเมื่อคุณอยากได้ราคานั้นคุณก็ต้องได้ ..WYSIWYG = What You See Is What You Get!

4. มี charting and technical analysis ให้ฟรี

เลือกโบรคเกอร์ที่ให้มีชาร์ท หรือกราฟทางเทคนิคให้คุณ สำหรับนักเทรด ที่แอคทีฟหน่อย (เทรดบ่อย) ให้หา โบรคเกอร์ ที่มีกราฟ หรือ ข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคให้ ที่จะสามารถใช้วิเคราะห์ด้วยตัวของคุณเองในกราฟ

5. Leverage Leverage

สามารถทำให้เรา รวย และ จนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า(จน) ในฐานะนักเทรด ที่มี ประสบการณ์ คุณไม่ต้องใช้ leverage เยอะมากอย่างที่คิด จะให้ดีใช้ราว ๆ 1: 100 สำหรับบัญชี สแตนดาร์ด และ 200:1 สำหรับบัญชี mini


สมัคร AGEA

Order คืออะไร

order หมายถึง การที่คุณจะทำการตัดสินใจส่งหรือออก position ในตลาด เราจะพูดถึงความ แตกต่าง ของออร์เดอร์แต่ละชนิด ที่สามารถ ส่งในตลาดค่าเงินนี้ได้ ออร์เดอร์ประเภทไหนที่โบรคเกอร์ สามารถ ยอมรับคำสั่งนั้นได้ ความแตกต่างของโบรคเกอร์ จะรับออร์เดอร์ที่แตกต่างกันไป


ชนิดของออร์เดอร์

ประเภทของออร์เดอร์พื้นฐาน
– มีออร์เดอร์พื้นฐานที่ทุก ๆ โบรกเกอร์มีให้ใช้ และบางออร์เดอร์ที่อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ คือ:

Market order

Market order เป็นออร์เดอร์ที่ใช้ในการสั่ง Buy หรือ Sell ที่ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD ราคา ปัจจุบัน อยู่ที่ 1.2140 ถ้าต้องการ Buy ที่ราคานี้ ต้องคลิ๊ก Buy และโปรแกรมเทรด จะทำการส่งออร์เดอร์ที่ราคานั้น (ถ้าคุณเคยซื้อของใน Amazon.com เหมือนกับการใช้ 1-Click ออร์เดอร์ อย่างนั้น) ถ้าอยากได้ราคาปัจจุบัน ตอนนั้น ก็คลิ๊กหนึ่งครั้ง แล้วมันก็จะกลายเป็นของคุณ แต่สิ่งที่แตกต่างจาการซื้อหรือขายธรรมดา ในตลาดค่าเงิน คือ คุณจะได้ อีกค่าเงินหนึ่งมา (แทนที่คุณจะได้ CD ถ้าคุณซื้อ CD ของ บริทนีย์ สเปียร์)


Limit order

Limit order คือออร์เดอร์ที่ส่งเพื่อ Buy หรือ Sell ในราคาใดราคาหนึ่งที่กำหนดไว้ จะงมีสองตัวแปร คือ เวลา กับ ราคา ตัวอย่างเช่น EUR/USD ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ราคา 1.2050 ต้องการที่จะส่งคำสั่ง Buy ถ้าราคามันถึง 1.2070 คุณสามารถ นั่งเฝ้าหน้าจอและรอให้มันถึงราคา 1.2070 (คือจุดที่คุณอยากส่งคำสั่ง buy แบบ Market order) หรือ ส่งคำสั่ง Buy limit order ที่ 1.2070 (ไม่ต้องนั่งเฝ้า คอมพิวเตอร์จะจัดการให้เสร็จสรรพ ถ้าราคามันมาถึงจุดนั้น) ถ้าราคามันขึ้นไปถึง 1.2070 โปรแกรมเทรด จะทำการส่งคำสั่ง Buy อัตโนมัติ ตามราคาที่ได้กำหนดไว้ สามารถ กำหนดราคาว่าจะ Buy หรือ Sell ในค่าเงินนั้น ๆ หรือแม้แต่ กำหนดว่า อยากให้ Limit Order นี้ อยู่ได้นานเท่าไร หลังจากส่งคำสั่ง (GTC หรือ GFD)


Stop-loss ( S-L)

order stop - loss order เป็น limit order ที่ใส่เข้าไปหลังจากที่เราเปิดออร์เดอร์เทรดแล้ว จุดประสงค์เพื่อที่จะ ป้องกัน การขาดทุน ถ้าราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้าม Stop loss order จะมีผลจนกระทั่งออร์เดอร์นั้น ถูกปิดไปแล้ว หรือ ผู้ส่งคำสั่งยกเลิกออร์เดอร์ Stop loss ตัวอย่างเช่น ต้องการ Buy EUR/USD ที่ราคา 1.2230 เพื่อไม่ให้เกิดการ ขาดทุนมากเกินไป จึงตั้ง Stoploss ที่ราคา 1.2200 โปรแกรมเทรดของคุณ จะทำการปิด ออร์เดอร์นั้น ที่ราคา 1.2200 อัตโนมัติ พร้อมกับผลขาดทุน 30 จุด(อูยยยย) Stop loss มีประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน แล้วกลัวว่าขาดทุน แค่ตั้ง Stop loss order ขึ้นมาใน position ที่เปิด คุณจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้


ออร์เดอร์ ชื่อแปลก ๆ

GTC (Good 'til canceled)

A GTC order จะมีผลในตลาดจนกระทั่งคุณยกเลิกด้วยตัวเอง โบรกเกอร์จะไม่สามารถยกเลิกมันได้ ดังนั้น ต้อง ระลึก เสมอว่าคุณมีออร์เดอร์อยู่ในมือรึเปล่า


GFD (Good for the day)

A GFD order จะมีผลในตลาดจนกว่าจบวันที่ทำการเทรด เพราะ ตลาดฟอร์เร็กซ์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ปกติจะใช้ เวลา 5 โมงเย็นของสหรัฐฯ เป็นตัววัด(ตี 4 ของเมืองไทย) แนะนำให้เช็คกับโบรกเกอร์ให้ละเอียดอีกที เรื่องเวลา


OCO (Order cancels other)

An OCO order เป็นออร์เดอร์ที่รวม limit and / or stop-loss order ไว้ด้วยกัน คือตัวแปรทางราคา และ เวลา จะถูกส่งเข้าไป ที่ราคาสูงกว่า หรือ ราคาที่ต่ำกว่า ราคาปัจจุบันทั้งสองอัน เมื่อออร์เดอร์หนึ่งถูกส่งไปแล้ว อีก ออร์เดอร์ จะถูกยกเลิก ตัวอย่างเช่น ราคาของ EUR/USD อยู่ที่ 1.2040 เมื่อคุณต้องการซื้อที่ 1.2095 เหนือ แนวต้านขึ้นไป ซึ่งอาจจะไปทำ new high และถ้าร่วงลงมาจนเกิน 1.1985 คุณจะเข้า sell order นั่นคือ ถ้ามัน ไปถึงราคา 1.2095 คุณจะส่งออร์เดอร์ buy ออร์เดอร์ sell ที่คุณตั้งจะส่งไว้ที่ 1.1985 จะถูกยกเลิก

จำไว้ว่า ควรตรวจสอบกับโบรกเกอร์ ให้ละเอียดอีกครั้ง บางทีอาจจะมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพิ่มเติมถ้าถือ position ข้ามคืน พยายามทำกฏในการเทรดให้ง่ายเข้าไว้ สิ่งที่ธรรมดาที่สุดย่อมทำให้เข้าใจง่ายที่สุด


สรุป

คำสั่งพื้นฐาน (market, stop loss, และ limit) ซึ่งเป็นออร์เดอร์ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ต้องใช้ แม้ว่า จะเป็นนักเทรด ที่เก่งกาจ (ใช่ แน่นอน) อย่าพึ่งไปสนใจกับระบเทรด Trading System ที่ดูซับซ้อน หรือมีเครื่องมือสวยงาม คุณ ไม่จำเป็นต้องทำกำไรได้ก้อนใหญ่ในตลาดทุกครั้งไป ให้คุณมุ่งออกแบบระบบที่ง่าย ๆ ธรรมดาของตัวเองก่อน

ต้องแน่ใจแล้วว่า คุณมีความรู้เกี่ยวระบบการเทรด หรือวิธีการส่งคำสั่งของโบรคเกอร์ให้ดีก่อนที่จะเทรด อย่ารีบ เทรดเงินจริง จนกว่าจะเข้าใจหน้าตา หรือคำสั่งของโปรแกรมที่ต้องใช้ในการส่งคำสั่งเทรด

สมัคร AGEA

pip - Lot - leverage - Margin Call คืออะไร

ทำความรู้จักกับ P และ L

จากตรงนี้ ต้องใช้ความสามารถทางคณิตศาสตร์นิดหน่อย บางที คุณอาจจะ เคยได้ยินมาบ้างแล้ว กับคำว่า Pip และ Lot ก่อนหน้านี้ และตอนนี้ เราจะมาอธิบายว่ามันคืออะไร และมีวิธีคิดอย่างไร

คุณต้องใส่ใจกับมันหน่อย เพราะว่ามันเป็นความรู้ ที่นักเทรดฟอร์เร็กซ์ ทุกคนควรจะรู้ อย่าคิดเรื่องเทรด จนกว่าคุณ จะรู้สึกว่า คุณเข้าใจว่า pip และการคำนวณกำไรขาดทุน


pip คืออะไร ?

การเพิ่มขึ้น หรือลดลง ของค่าเงิน เรียกว่า pip

ถ้า EUR/USD เคลื่อนไหวจากราคา 1.2250 ไปที่ราคา 1.2251 เรียกว่า 1 pip ซึ่ง 1 Pip คือ ตัวเลขทศนิยมตัว สุดท้ายของค่าเงิน จากตัวทศนิยมสี่ตัว (ซึ่งบางครั้งก็ก็อาจจะมีถึงห้าจุด ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวน pip เหมือนกัน) ซึ่งเราสามารถใช้ Pip ในการประมาณผลกำไรขาดทุนได้ แต่ละค่าเงิน มีมูลค่าที่แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องคำนวณ มูลค่าของเงิน ต่อความเคลื่อนไหว ต่อ pip ก่อน ในค่าเงิน ที่ที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหน้า จะถูกคิดดังนี้

สมมุติเป็น คู่เงิน USD/JPY มีอัตราแลกเปลี่ยนอยูที่ 119.80
(สังเกตุว่าค่าเงินดังกล่าว จะมีแค่สองจุดทศนิยม ซึ่งค่าเงินส่วนใหญ่จะมีสี่)
ในกรณีของ USD/JPY เคลื่อนไหว 1 จุดจะเท่ากับ .01 ดังนั้น


USD/JPY: 119.80
.01 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.01/119.80 = 0.0000834
ซึ่งออกจะยาวไปหน่อย แต่เดี๋ยวเราจะเริ่มคำนวณ ขนาดของ lot กัน


USD/CHF: 1.5250
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.5250 = 0.0000655


USD/CAD: 1.4890
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.4890 = 0.00006715


ในกรณีที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การหาค่า จะมีวิธีการเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ดังนี้
EUR/USD: 1.2200
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.2200 = EUR 0.00008196
แต่ว่าเราต้องคิดกลับไปเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีซึ่งก็คือ EUR x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.00008196 x 1.2200 = 0.00009999
เมื่อเราปัดเศษ ก็จะได้ 0.0001


GBP/USD: 1.7975
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.7975 = GBP 0.0000556
แต่เราต้องกลับไปคิดเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีหนึ่งซื่งเท่ากับ GBP x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.0000556 x 1.7975 = 0.0000998
ถ้าเราปัศเศษทศนิยมก็จะได้ 0.0001


บางทีตอนนี้คุณกำลังอาจจะคิดอยู่ก็ได้ว่า ตกลงแล้วเราต้องคิดทั้งหมดทุกคู่ตลอดเลยรึเปล่า คำตอบคือ ไม่ เกือบทุกโบรคเกอร์จะมีรายละเอียดนี้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มันก็ดีที่คุณจะรู้ว่ค่าเหล่านี้ามาจากไหน จะบอกว่าเรื่องนี้ มีประโยชน์ยังไง ในบทต่อ ๆ ไป


Lot คืออะไร?

ฟอร์เร็กซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน

เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด

ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย

EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด

GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.

โบรคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่


แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร

ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้าซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้

ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip

เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว

เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์


leverage คืออะไร?

คุณอาจจะเคยคิดว่า นักลงทุนเล็ก ๆ อย่างคุณ จะสามารถเทรดค่าเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ลองคิดเปรียบว่า โบรคเกอร์ ก็คือธนาคาร ซึ่งเขาอยากให้คุณซื้อค่าเงินมูลค่า 100,000 เหรียญ โดยที่เขาต้องการเงินจากคุณเพียง แค่ 1,000 เหรียญ เพื่อค้ำประกัน ฟังดูง่ายเกินไปในโลกของความจริงใช่ไหม? แต่ว่า นี่แหละคือฟอร์เร็กซ์ และ นี่ก็คือ Leverage ที่เราใช้

จำนวน leverage ที่คุณใช้ ขึ้นอยู่กับโบรคเกอร์ และขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า ต้องการใช้เท่าไหร่

โบรคเกอร์จะให้คุณฝากเงินเข้า ที่เราเรียกกันว่า margin หรือ initial margin เมื่อฝากเงินเข้าบัญชี คุณจะสามารถ เทรดได้ทันที และโบรกเกอร์ก็จะบอกว่า คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่ ในการเทรดจำนวน ลอทนั้น ๆ

เช่น ถ้า leverage ที่เราใช้เท่ากับ 100:1 (หรือ 1 เปอร์เซ็นต์ ของ position ต้องใช้) และคุณต้องการเทรดมูลค่า 100,000 เหรียญ โบรคเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น 1,000 เหรียญ ดังนั้นถ้ามีเงิน 5,000 เหรียญ จะเทรดได้มากสุดถึง 500,000 เหรียญ

มาร์จิ้นอย่างต่ำต่อลอท จะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละโบรคเกอร์ จากตัวอย่างข้างบน โบรกเกอร์จะต้องใช้ มาร์จิ้น 1% ซึ่งหมายความว่า ออร์เดอร์มูลค่า 100,000 ซึ่งคุณจะต้องฝากเงินเข้าไป 1,000 เหรียญ เพื่อที่จะฝาก เป็นมาร์จิ้น นั่นเอง


Margin Call คืออะไร?

ในเหตุการณ์ที่เงินในบัญชีของคุณลดลง จนเหลือน้อยกว่า มาร์จิ้นขั้นต่ำ (มาร์จิ้นที่คุณต้องใช้ในการถือ position) โบรคเกอร์จะทยอยปิด ออร์เดอร์ที่คุณเปิดอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีคุณขาดทุนจนติดลบ โดยเฉพาะ เวลาที่ตลาด มีความผันผวนสูง คือราคามีการเคลื่อนไหวกว้าง

ตัวอย่างที่ 1
คุณเปิดบัญชีฟอร์เร็กซ์ ด้วยเงิน 2,000 เหรียญ(ไม่ใช่ความคิดที่ดี) คุณเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ด ลอท( 100,000 unit) ของค่าเงิน EUR/USD ซึ่งต้องใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คุณสามารถเปิดออร์เดอร์เพิ่ม หรือ สามารถ รองรับการขาดทุนของออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ ตั้งแต่แรกที่เปิดบัญชี 2,000 เหรียญ คุณมีมาร์จิ้น ที่สามารถ ใช้เทรดได้ 2,000 เหรียญ แต่เมื่อเทรด 1 สแตนดาร์ดลอท ซึ่งจะใช้มาร์จิ้น 1,000 เหรียญ และมาร์จิ้นที่จะเหลืออยู่ คือ 1,000 ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลืออยู่ คือ 1,000 เหรียญ คุณจะโดน margin call

ตัวอย่างที่ 2
คุณเปิดบัญชี ด้วยเงิน 10,000 เหรียญ แล้วเปิดบัญชี 1 สแตนดาร์ดลอท ของค่าเงิน EUR/USD จะต้องใช้ margin 1,000 เหรียญ มาร์จิ้นที่เหลือเป็นเงินที่สามารถใช้ในการเปิดออร์เดอร์ หรือ เอาไว้รองรับการขาดทุนจากออร์เดอร์ ที่เปิดอยู่ ดังนั้ถ้าเปิดที่ 1 standard lot ด้วยมาร์จิ้น 10,000 เหรียญ หลังจากเปิดออร์เดอร์ จะมีมาร์จิ้นเหลืออยู่ 9,000 เหรียญ เพราะ 1,000 เป็นมาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปแล้ว ถ้าคุณเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่เหลือ 9,000 เหรียญ คุณก็จะถูก margin call ต้องทำความเข้าใจกับความแตกต่างของ


มาร์จิ้นที่ถูกใช้ไป (used margin) กับ มาร์จิ้นที่เหลืออยู่ (usable margin) คืออะไร
ถ้ามูลค่ารวมของบัญชีคุณ มีน้อยกว่า มาร์จิ้นที่เหลือ เนื่องมาจากผลขาดทุนของการเทรด คุณจะต้องฝากเงินเพิ่ม หรือ ไม่เช่นนั้นโบรคเกอร์จะปิดออร์เดอร์ของคุณ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของคุณ และความเสี่ยงของโบรคเกอร์เอง เพื่อไม่ให้ คุณเสียมากกว่าที่คุณเทรด

ถ้าเทรดโดยใช้บัญชีแบบมาร์จิ้น (ยืมเงินโบรคเกอร์เล่น แบบตลาดหุ้น) มันสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจนโยบาย เกี่ยวกับ บัญชีมาร์จิ้นให้ละเอียด

ควรจะรู้ว่าโบรคเกอร์ส่วนใหญ่ จะเรียกมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ ครั้งแรกพวกเขาอาจจะให้ใช้มาร์จิ้นที่ 1 % ช่วงกลางสัปดาห์ ถ้าคุณถือ position ข้ามสัปดาห์ อาจจะต้องใช้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจาก 1 % เป็น 2% หรืออาจจะ สูงกว่านั้น

เรื่องของมาร์จิ้น เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางคนบอกว่า การใช้มาร์จิ้นเยอะเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ คุณควรจะเข้าใจเงื่อนไข หรือนโยบายเกี่ยวกับมาร์จิ้น ของ โบรคเกอร์ จะได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่มีอยู่ด้วยนั่นเอง

บางโบรคเกอร์ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้ leverage ในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น โดยใช้หลักการธรรมดา ๆ ระหว่าง 2 แบบ คือ

Leverage = 100 / เปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น
เปอร์เซ็นต์มาร์จิ้น = 100 / Leverage
Leverage ส่วนใหญ่จะแสดงอยู่ในรูปแบบอัตราส่วน เช่น 100 :1 หรือ 200 : 1

สมัคร AGEA

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร


ในตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

วัตถุประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย


ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน

สิ่งที่นักเทรด ทำ
EUR
USD
เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร
+10,000
-11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500
-10,000
+12,500**
เราได้กำไร $700
0
+700

*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500

อัตราแลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์

วิธีอ่าน FX Quote

ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ

GBP/USD = 1.7500

ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)

เมื่อเราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์

เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency

ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์

Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency

เราจะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency


Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย

ถ้าต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง

ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง


Bid/Ask Spread

ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้

Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง

ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด

G/U
นี่คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449

ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ

EUR/USD

ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย

ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/JPY

ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้าคุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น

ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน

GBP/USD

ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน

ถ้าคุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

ถ้าคุณคิดว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/CHF

ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้าคุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน

ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน


หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?

เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้

คำว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก

การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น

เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที

ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)

การตัดสินใจของคุณ
GBP
USD
คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000
+100,000
-150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย
-100,000
+150,500**
คุณได้กำไร 500 เหรียญ
0
+500

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว


Rollover

เรื่องนี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4

เมื่อทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ
ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่าเงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต

ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่าเงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009

ดอกเบี้ย ค่าเงิน


บัญชี Demo

คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง

ทำไม ฟรี ?

เพราะโบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย

คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป

ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป (ถ้าเป็นไปได้)

"อย่าเสียเงินของคุณ" ให้พูดออกมา

เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....

"ฉันจะเล่นบัญชีจริงเป็นเวลา 3 - 6 เดือนก่อนที่จะเทรดเงินจริง"

แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...

"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"

คลิ๊กลิ้งเพื่อสมัคร